รีวิวหนัง the power of the dog หนังดีที่จะพาคนดูเสียน้ำตา

the power of the dog เป็นหนังใน Netflix ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง Thomas Savage โดย
หนังเรื่องนี้ ได้ผู้กำกับมือทองอย่าง Jane Campion มาร่วมกำกับการแสดงในครั้งนี้และเธอเองก็เพิ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำไปหมาดๆ นี้เอง เนื้อหาหนังเรื่องนี้จะเน้นรูปแบบการเล่าเรื่องแบบเนิบช้าแต่แฝงไว้ด้วยรายละเอียดที่ประณีต ก่อนจะดำเนินเรื่องราวสุดซึ้งถึง 5 บทในเรื่องเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วหนังคาวบอยที่เราเคยดูกันทั่วไปนั้นจะเป็นหนังแอ็คชันที่มีฉากต่อสู้และสาดกระสุนปืนกันแบบกระหน่ำ แต่หนังเรื่อง the power of the dogกลับนำเสนอผลงานได้มีความน่าสนใจ แถมตัวละครยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนึกคิดปะทุอยู่บนสีหน้า ท่าทาง และคำพูดของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งจริงๆ แล้วตัวเรื่อง ก็จัดเป็นหนังดราม่าน้ำดีเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่อยากชมความสนุกแบบครบรสไม่ว่าจะแอ็คชันหรือดราม่า หนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ตอบโจทย์คนดูจริงๆ ค่ะ

 

รีวิว the power of dog หนังดราม่าสุดซึ้ง บาดลึกถึงทรวงใน

                the power of dog เป็นหนังภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่องหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงได้สมบทบาท โดยจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1925 เป็นยุคที่คาวบอยครองเมือง โดยตัวเองของเรื่องคือ Phil และ George สองชายหนุ่มสองพี่น้องที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว เพราะ Phil คนพี่จะมีนิสัยที่ชอบดูถูกเหยียบหยามคนอื่นอยู่เสมอ
แต่ข้อดีของ Phil จะเป็นคนฉลาด หัวไวและทันคน ซึ่งแตกต่างจาก George คนน้องอย่างสิ้นเชิง เพราะด้วยนิสัยที่ดูไม่เอาไหน ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ จึงทำให้ George ขาดความมั่นใจในตัวเอง แต่ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีกว่าคนพี่นั่นเองค่ะ และด้วยบุคลิกที่สุดโต่งของสองพี่น้องคู่นี้ ก็ทำให้เราต่างตั้งคำถามว่าการอยู่ในยุคคาวบอยที่มีสงครามกลางเมืองกันตลอดทุกวี่ทุกวันแบบนี้ การมีนิสัยเสียแบบคนพี่จะถือเป็นสิ่งที่ดีในการเอาตัวรอดจากกลุ่มคาวบอยหรือไม่ แล้วการที่คนน้องเป็นคนไม่สู้คนและมีนิสัยใสซื่อบริสุทธิ์จะทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดจากกลุ่มคาวบอยในเมืองได้หรือเปล่า แน่นอนว่าคำตอบของหนังเรื่องนี้ก็ต้องการสะท้อนบทบาทและคาแรกเตอร์ของตัวละครสองพี่น้องคู่นี้เพื่อให้คนดูได้คิดวิเคราะห์ตามกันว่า สุดท้ายแล้วระหว่างความเลวกับความดี สิ่งไหนจะสามารถอยู่ในดินแดนคาวบอยแห่งนี้ได้

 

ต่อมาทั้งสองหนุ่มอย่าง Phil และ George ก็ได้มาเจอกับแม่หม้ายลูกติดที่ชื่อว่า Rose และ Pete ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจของฉากต่อไปนี้ก็ยิ่งเน้นย้ำความเลวของ Phil เพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อ George น้องชายของเขาแอบหลงรัก Rose อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ Phil รู้สึกไม่ไว้วางใจที่น้องชายของเขาเข้าไปคลุกคลีกับคนกลุ่มนี้ หนำซ้ำเขายังเยาะเย้ย Pete ด้วยการใช้คำพูดเชิงเหยียดหยามและล้อเลียน Pete ด้วยการเรียกเขาว่า ‘เด็กติ๋ม’ ทำให้ Pete สูญเสียความมั่นใจลงในทันที ซึ่งจริงๆ แล้ว Phil ไม่เพียงแต่จะหยอกหล้อ Pete เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเขายังบูลลี่รูปร่างน้องชายของ
เขาด้วยการเรียกว่า ‘ไอ้อ้วน’ ซึ่งมันทำให้เราได้เห็นแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของ Phil จะเป็นคนที่ชอบพูดกดทับคนอื่นให้ตกต่ำและรู้สึกแย่อยู่เสมอ เพื่อที่จะตัวเองจะได้อยู่สูงกว่าผู้อื่นนั่นเอง ซึ่งการที่ Phil ทำแบบนี้มันยิ่งตอกย้ำความมั่นใจของ George และ Pete ให้ตกต่ำลงไปอีก ซึ่งเดิมทีพวกเขาทั้งสองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว และยิ่งเจอคำพูดที่โหดร้ายจาก Phil ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเองอีก

 

                แต่อีกแง่หนึ่ง Phil ก็เป็นคนที่มีสองบุคลิกอยู่ในคนเดียวกันคือ หากเขาได้อยู่กับผู้มีอำนาจที่สูงส่งอย่าง Bronco Henry ผู้นำคาวบอย Phil เขาก็จะมีความนอบน้อมถ่อมตนและยกยอ Bronco อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเขาก็คอยบอกตัวเองอยู่ทุกครั้งว่าหากไม่มีว่า Bronco เขาคงไม่มีชีวิตที่สุขสบายเฉกเช่นทุกวันนี้ ในขณะเดียวกันลูกน้องของ Phil ก็ยังมองว่า Phil เป็นคนที่เพรียบพร้อมไปด้วยวุฒิภาวะผู้นำ จึงทำให้ทุกคนเห็นคล้อยต้องตาม Phil แทบจะในทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ ซึ่งความจริงแล้ว Phil ไม่เพียงแต่จะแสดงออกทางคำพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีหน้าและแววตาที่เขาใช้มองคนอื่นด้วย จึงทำให้ใครต่อใครต่างเกรงกลัวและไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับ Phil นั่นเอง  

นอกจากนี้ในหนังยังเป็นการส่อเสียดเรื่องราวของ Pete ด้วยว่าการที่เขาทำตัวหน่อมแน้มและมีนิสัยเหมือนผู้หญิง ก็ยิ่งทำให้ Phil มีนิสัยเสียและชอบหยอกล้อ Pete เพิ่มขึ้นทุกวัน รวมถึงตัวละครแม่หม้ายที่ George แอบหลงรักอย่าง Rose ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Phil ไม่ชอบขี้หน้า Rose เพราะเขากลัวว่าเธอจะมาปอกลอกน้องชายหัวอ่อนของเขา แน่นอนว่า Phil ก็ได้ทำการพูดบั่นทอนจิตใจของ Rose ทำให้เธออยู่สภาพที่ย่ำแย่และไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับ George อีก นอกจากนี้ความนิสัยเสียของ Phil ไม่ได้จบเพียงแค่การกลั่นแกล้ง Rose เท่านั้น แต่เขายังลามปามมาถึงการแต่งงานระหว่าง  Rose และ George อีกด้วย ซึ่งเขาก็ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ทั้งสองได้ครองรักกัน แต่ในเมื่อความรักมันห้ามกันไม่ได้ Phil ก็รู้สึกหงุดหงิดที่น้องชายของเขายังไปพัวพันอยู่กับแม่หม้ายลูกติดอยู่ เขาจึงอาลาวาดพังข้าวของและเอาทุกอย่างไปลงกับม้า ซึ่งลึกๆ แล้ว Phil อาจเป็นบุคคลที่ขาดความรักขาดความอบอุ่นก็เป็นได้ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งเขาเองก็อาจรู้สึกอิจฉา หรือรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าน้องชายของเขา

 

   แต่ใครจะไปรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงของ Phil นั้นจะมีเงื่อนงำบางอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจ และการที่เขาก่อเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ทิ้งไว้ให้กับคนอื่น จะทำให้เขามีความสุขได้จริงๆ หรือไม่ แล้วจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เราคงต้องไปติดตามชมกันในภาพยนตร์เรื่อง the power of the dog จาก Netflix เลยค่ะ โดยภาพรวมแล้วหนังเรื่องนี้ค่อนข้างสะท้อนมุมมองได้หลายอย่างเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนหนังแนวดราม่าที่มีเนื้อหาส่อเสียดชีวิต หนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณไม่ควรพลาดเลยค่ะ

*** คะแนน IMDb = 6.8

รับชมตัวอย่างหนังได้ที่นี่