ชื่อของเจ้ย อภิชาติพงศ์เป็นหนึ่งใน List รายชื่อผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติไทยที่ไปปักหลักสร้างผลงานอยู่ต่างประเทศ สำหรับผู้ที่ติดตามวงการภาพยนตร์เป็นประจำย่อมคุ้นชื่ออยู่บ้าง เพราะผลงานการกำกับของเขาที่ถ่ายทอดออกมามักเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอ เมื่อปี 2021ที่ผ่านมาเขาเพิ่งเปิดตัวหนังเรื่อง memoria ไป เป็นผลงานชิ้นใหม่ที่ได้รับรางวัล Jury Prize จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ มาช่วยการันตีว่าหนังเรื่องนี้มีคุณค่าควรแก่การรับชม ซึ่งคุณค่าของหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เราคงต้องไปตามหาคำตอบกันดูเสียหน่อยกับ รีวิวหนัง เรื่องนี้
ทำความรู้จักกับเจ้ย อภิชาติพงศ์
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย ชายสัญชาติไทยผู้เติบโตขึ้นในจังหวัดขอนแก่น แม้จะเป็นลูกของพ่อที่เป็นเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ความสนใจของเขากลับเอนเอียงไปที่ศิลปะการสร้างภาพยนตร์ โดยเส้นทางสายภาพยนตร์ของเจ้ยเริ่มต้นในปี 1990 โดยเขาเองก็ยังคงก้าวเดินอยู่บนเส้นทางนี้อยู่ตลอด ระหว่างการเดินทางก็ผลิตผลงานที่โกยรางวัลสายภาพยนต์ในระดับสากลมาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Mysterious Object at Noon (2000), Blissfully Yours (2002), Tropical Malady (2004), Uncle Boonmee Who Can Recount His Past Lives (2010)
ผู้ติดตามผลงานของเจ้ยอยู่เสมอจะสัมผัสได้ถึงความเฉพาะตัวของเขา ซึ่งกล่าวกันว่าเป็น Signature ที่แสดงตัวตนความเป็นเจ้ย อภิชาตพงศ์อยู่ในที โดย Signature ที่ว่ามาจากเทคนิคการถ่ายทำ การเลือกใช้นักแสดง วิธีที่ใช้มาเล่าเรื่อง รวมไปถึงลักษณะการนำเสนอพล็อตของหนัง ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้เกิดเป็นเสน่ห์เฉพาะที่พบได้แค่ในงานของเขาเท่านั้น ภาพยนตร์ที่ถูกกำกับโดยฝีมือของเจ้ยมักเป็นการเล่าเรื่องที่อยู่นอกความนิยมของผู้คนเป็นหลัก และมุมมองการนำเสนอเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่แสดงข้อความออกมาตรง ๆ นั่นเอง
เส้นเรื่องของ Memoria (2021)
หนังเรื่องmemoria เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของหญิงผู้หนึ่งชื่อว่า Jessicaเจ้าของสวนดอกกล้วยไม้แห่งหนึ่งในเมืองเมเดยิน ประเทศโคลัมเบีย เดินทางไปเยี่ยมน้องสาวผู้กำลังรักษาอาการป่วยในโรงพยาบาลที่เมืองโบโกตา รุ่งเช้าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาเธอได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่รู้ว่าต้นทางของเสียงนั้นอยู่ที่ใด รู้เพียงว่าเป็นเสียงที่มีอยู่เพียงภายในโสตประสาทของเธอ โดยเสียงที่เกิดขึ้นนี้รบกวนการนอนของเธอเป็นอย่างมาก นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อหาคำตอบว่าเสียงที่ดังอยู่ในการรับรู้ของเธอคือเสียงอะไร และเกิดจากอะไร
ซึ่งการหาคำตอบเริ่มแรกเธอเข้าพบแพทย์เพื่อรับยาชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้เกิดความสงบใจ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากแพทย์ให้ใช้ยาตัวนี้ เธอได้รับการแนะนำจากสามีของน้องสาวให้ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง เพื่อจะช่วยจำลองเสียงในรูปแบบที่ต่างกันนำวิเคราะห์ว่าเสียงที่ก้องอยู่ในการรับรู้ของเธอเป็นเสียงอะไรกัน แน่นอนว่าเธอก็ยังไม่พบคำตอบที่ตรงกับข้อสงสัยของเธอในขั้นตอนนี้ จนเมื่อเธอได้พบกับนักโบราณคดีผู้กำลังพิจารณาโครงกระดูกที่ขุดพบจากอุโมงค์นอกเมืองโบโกตา เธอจึงได้ติดตามไปยังสถานที่ขุดอุโมงค์เพื่อค้นหาคำตอบของตัวเอง
ระหว่างทางไปยังจุดที่ขุดอุโมงค์ Jessica ได้พบกับชายคนหนึ่งอยู่ใกล้ริมแม่น้ำ เธอได้เข้าไปสนทนากับเขา แล้วการสนทนาระหว่างเธอกับเขาทำให้ข้อสงสัยเกี่ยวกับเสียงที่รบกวนเธออยู่นั้นคลี่คลายลง จนทำให้เธอสามารถตกผลึกได้ว่าความจริงแล้วเสียงที่ดังอยู่ในโสตประสาทของเธอนั้น ไม่ได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน แต่ยังมีผู้คนอีกหลายชีวิตที่รับรู้การมีอยู่ของเสียงที่ว่านี้เช่นกัน และตลอดเวลากับการเผชิญความคับข้องใจต่อที่มาของเสียงแปลก ๆ ที่เกิดกับการรับรู้ของเธอ ส่งผลให้เธอคิดว่าตัวเองกำลังมีอาการผิดปกติทางจิตใจไปแล้ว
ความน่าสนใจของหนังเรื่องMemoria
- หนังเรื่องนี้เป็นปรากฎการณ์สำคัญที่ท้าทายต่อมความสนใจของผู้ชมหนังนอกกระแสพอสมควร เพราะเป็นหนังที่นำเสียงที่เกิดรอบขึ้นรอบตัวมาใช้เป็น Symbolic แทนความทรงจำที่ถูกซ่อนไว้เพื่อใช้สื่อสารกับผู้ชม อาจพูดได้ว่าหนังเรื่องนี้เปิดอกกว้าง ๆ ให้นักชมภาพยนตร์ได้ลองวิเคราะห์ จับตาลูกเล่นที่ใส่ลงไปในหนัง แล้วคาดเดาทิศทางของหนังไปตามความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งผู้ชมแต่ละคนก็จะตีความหมายของสัญลักษณ์ที่ปรากฏในการดำเนินเรื่องได้ไม่เหมือนกัน เพราะจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์บางอย่างเข้ามาช่วยวิเคราะห์ด้วย จึงจะเกิดความเข้าใจและเข้าถึงอรรถรสของหนัง
- เสน่ห์ของหนังเรื่อง Memoria มีหลายแง่มุมให้เราชื่นชม การใช้แสงสีเพื่อสื่ออารมณ์ตัวละคร ฉาก หลังที่เป็นเมืองและชนบท เทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take เพื่อให้ผู้ชมได้ซึมซับอารมณ์ของตัวละคร ซึมซับสิ่งแวดล้อมที่ตัวละครดำเนินอยู่ การถ่ายทำลักษณะนี้จะช่วยให้หนังมีบรรยากาศสมจริง เก็บรายละเอียดได้มาก การใช้เสียงจริง เสียงสังเคราะห์ การเปิด-ปิดเสียงในบางฉากเป็นลูกเล่นสำคัญที่สร้างจุดขายให้ตัวหนัง ยิ่งลูกเล่นทางเสียงเหล่านี้เข้าไปกระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมมากเท่าใด อาจแสดงให้เห็นว่าผู้ชมเกิดความเข้าใจต่อตัวหนังและทิศทางที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอแล้ว
- ซึ่งผู้ชมคนไหนวิเคราะห์ได้ก็ถือว่าดี แต่หากรับชมแล้วไม่สามารถเข้าใจทิศทางของหนังก็ไม่ถือว่าผิดอะไร หากจะวิเคราะห์ให้แตกไปหมดทุกมิติก็ต้องใช้เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะในการดำเนินเรื่องก็ซ่อนสัญลักษณ์เอาไว้มากมาย อีกทั้งการมีอยู่และหายไปอย่างไร้เหตุผลของตัวละครบางตัว จนอาจทำให้เกิดความสับสนว่าตัวละครนั้นมีจริงหรือแค่ภาพมโนที่ผลัดเปลี่ยนไปมากันแน่ ด้วยเหตุนี้การรับชมหนังเรื่องนี้จะชมด้วยหลักการวิเคราะห์รายละเอียด หรือจะเข้าชมเพื่อเสพศิลปะในการสร้างภาพยนตร์ที่แปลกใหม่ก็ถือว่ามีคุณค่าเสมอกัน
Memoria หนังทดลองทำที่ต้องดูในโรงเท่านั้น
อย่างที่บอกไปแล้วว่าหนังเรื่องนี้ใช้เสียงมาเป็นลูกเล่นในการดำเนินเรื่องและสร้างชีวิตชีวาให้ตัวละคร ไม่ได้ต้องการสื่อประเด็นการเมือง ประวัติศาสตร์ ทัศนคติของตัวละครอย่างชัดแจ้ง แต่หัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตีความสัญลักษณ์ที่มาในรูปแบบเสียงเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงถูกจำกัดว่าต้องรับชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น เพื่อผู้ชมจะได้รับอรรถรสของหนังได้สมบูรณ์ที่สุดนั่นเอง
*** คะแนน IMDb = 6.6 ***
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่นี่
credit by :