หากใครเป็นสายหนังแนวดราม่าวันนี้เราจะมาแนะนำหนังภาพยนตร์ไทยที่เพิ่งเปิดตัวมาเมื่อต้นปี 2022 นี้กับเรื่องที่ชื่อว่า “วันสุดท้ายก่อนบายเธอ” เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเพื่อนเก่าแก่สองคนที่ขาดการติดต่อกันมานานแล้ว แต่ในที่สุดโชคชะตาก็นำพาพวกเขาทั้งสองให้กลับมาพบเจอกัน และดูเหมือนว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขาจะไปได้สวย แต่แล้วความโชคร้ายก็บังเกิดขึ้นกับพวกเขาหนึ่งคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แล้วความสัมพันธ์และมิตรภาพเก่าๆ ของพวกเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม เราคงต้องตามไปชมความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ไปพร้อมๆ กันกับหนังภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้
เรื่องย่อ วันสุดท้ายก่อนบายเธอ หนังภาพยนตร์ไทยแนวดราม่า
วันสุดท้ายก่อนบายเธอ เป็นหนังภาพยนตร์ไทยที่ได้ผู้กำกับชื่อดังอย่าง นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้มีผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ และ ‘เคาท์ดาวน์’ มาร่วมกำกับการแสดงในครั้งนี้ โดยมีไอซ์ซึ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) มาร่วมสวมบทบาทเป็นอู๊ด ชายหนุ่มที่ป่วยเป็นลูคีเมียระยะสุดท้าย และต่อ (ธนภพ ลีรัตนขจร) รับบทบาทเป็นบาส เพื่อนสนิทวัยเด็กของอู๊ด โดยเรื่องราวของหนังเรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่อู๊ดรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะตายด้วยโรคลูคีเมีย เขาจึงโทรหาบอสเพื่อนรักในวัยเด็กของเขาให้กลับมาร่วมทำปณิธานสุดท้ายที่เขาได้ตั้งร่วมกันไว้ก่อนที่อู๊ดจะตายจากไป เมื่อบอสรู้ข่าวจากอู๊ดเขาก็รีบมุ่งหน้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากนิวยอร์กมาเจออู๊ดที่ไทยโดยทันที และเมื่อทั้งคู่ได้กลับมาพบกันเรื่องราวความสัมพันธ์ของชายหนุ่มป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายและอดีตเพื่อนรักก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
รีวิวหนัง วันสุดท้ายก่อนบายเธอ หนังภาพยนตร์แนวดราม่า ที่จะชวนคุณเสียน้ำตากันตลอดทั้งเรื่อง
ถ้าหากใครได้เห็นโปสเตอร์และทีเซอร์ของหนังเรื่องนี้ หลายๆ คนน่าจะพอมองออกแล้วว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวดราม่าที่คุมโทนเทาๆ ในเรื่องจะมาแบบเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความสัมพันธ์ที่แสนอบอุ่นของตัวละครเอกทั้งสองได้อย่างน่าสนใจ ถึงแม้ว่าทางผู้กำกับจะนำเสนอว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าแนว Road Movie ที่จะพาคนดูไปสำรวจเส้นทางและสถานที่แต่ละแห่ง แต่เมื่อได้ดูแล้วกับรู้สึกว่าตัวหนังไม่ได้มีการเจาะรายละเอียดของแต่ละสถานที่ลงไปมากนัก ส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่การพาอู๊ดไปเจอกับแฟนเก่าแต่ละคนมากกว่า แต่ถ้าให้มองโดยผิวเผินหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างโดดเด่น รวมถึงในหนังยังมีการหยอดปมของแฟนเก่าอู๊ดแต่ละคนเอาไว้ให้คนดูได้คิดวิเคราะห์ตาม จากนั้นตัวหนังก็ค่อยๆ ระเบิดเวลาและปะทุซีนไคลแม็กซ์ออกมาให้คนดูได้ชมกันแบบไม่มีเบื่อ
ถึงแม้ว่าตัวหนังจะเดินเรื่องได้ไม่ดีเท่าที่โปรโมทไป แต่การได้นักแสดงผู้มากความสามารถอย่างต่อและไอซ์ซึมาร่วมสวมบทบาทเป็นตัวละครเอกในเรื่องแล้ว ก็ทำให้เคมีของทั้งคู่เข้าขากันได้แบบลงตัวสุดๆ ซึ่งในแต่ละบทสนทนาของบอสและอู๊ดก็มีการผสมผสานระหว่างความกวนโอ๊ยและความเป็นห่วงเป็นใยเข้าด้วยกันได้อย่างซึ้งใจ จนมันทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่แหละความเป็นธรรมชาติที่ดูแล้วรู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละครแบบสมจริง แต่ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมในความสามารถของไอซ์ซึที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และการแสดงแบบ Method Acting ที่จะพาคนดูดำดิ่งเข้าสู่ห้วงอารมณ์ความเป็นอู๊ดได้แบบครบรส และไม่เพียงแค่ความสามารถของไอซ์ซึเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความพยายามของไอซ์ซึในการลดน้ำหนักมากถึง 17 กิโลกรัมเพื่อให้ดูสมกับเป็นผู้ป่วยลูคีเมียระยะสุดท้ายแบบสมจริง ไหนจะเรื่องของการศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยลูคีเมียที่เล่นออกมาได้สมบทบาทอีก ซึ่งต้องบอกเลยว่าถ้าไม่ได้ไอซ์ซึและต่อ หนังเรื่องนี้คงออกมาไม่เพอร์เฟคท่านี้แน่นอนค่ะ
ในส่วนของนักแสดงสมทบก็สามารถทำผลงานออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ซึ่งต้องไล่ตั้งแต่แฟนเก่าคนแรกอย่าง พลอยหอวัง , ออกแบบ ชุติมณฑน์ , นุ่น ศิรพันธ์ ที่มาร่วมสมทบเป็นแฟนเก่าของอู๊ดได้หลากหลายอารมณ์ แต่ก็แอบเสียดายอยู่ไม่น้อยเพราะหนังให้ความโดดเด่นกับพวกเธอน้อยไปหน่อย เพราะส่วนใหญ่แล้วแฟนเก่าอู๊ดทั้ง 3 คนจะมีแค่บทด่ากับให้อภัยเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากวี วิโอเลตอย่างสิ้นเชิง เพราะเธอเป็นแฟนเก่าเพียงคนเดียวที่เข้าใจอู๊ดและสามารถขับเคลื่อนตัวตนที่แท้จริงของอู๊ดและบอสออกมาได้เต็มรูปแบบ และอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ช่วยให้ผลักดันให้อู๊ดสามารถทำภารกิจได้สำเร็จเลยนั้นก็คือ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่รับบทเป็นพ่อของอู๊ด ซึ่งถึงแม้ว่าพ่อของอู๊ดจะออกมาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับมีพลังบางอย่างที่ทำให้อู๊ดสามารถรู้ใจตัวเองได้นั่นเอง
นอกจากนี้หนังเรื่อง One for the Road ยังพยายามพาเราออกไปสำรวจมุมมองของตัวละครที่มีต่ออู๊ดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน แฟนเก่า หรือคนแปลกหน้า ก็ล้วนเป็นบุคคลที่ช่วยดึงอารมณ์ของคนดูให้อินตามกับหนังได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนงานภาพของหนังเรื่อง One for the Road ก็ได้ผู้กำกับมือทองอย่างพาเกล้า จิระอังกูรกุล และหว่องกาไว มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในผลงานของหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแค่ได้ดูก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ผู้กำกับสามารถจัดวางองค์ประกอบ แสง สี เสียง และบรรยากาศของแต่ละซีนได้มีความสมดุลและสามารถถ่ายทอดบทหนังให้มีอารมณ์เทาๆ ได้สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก
ความรู้สึกหลังจากชม One for the Road
โดยภาพรวมแล้วหนังเรื่อง One for the Road จัดว่าเป็นหนังน้ำดีเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราจะได้เห็นมุมมองและทัศนคติที่หลากหลายของตัวละครในเรื่องแล้ว อีกทั้งเรายังได้ข้อคิดดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้อีกด้วย ซึ่งถ้าใครได้ดูเรื่องนี้จนจบแล้ว เราเชื่อว่าคุณจะต้องรู้สึกหวานอมขมกลืนในบทบาทของอู๊ดกันแน่นอนค่ะ สุดท้ายแล้วเรื่องราวของอู๊ดจะลงเอยอย่างไร แล้วอู๊ดจะสามารถทำภารกิจที่เขาตั้งไว้ได้สำเร็จหรือไม่ งานนี้เราสามารถเอาใจช่วยอู๊ดกันได้แล้ววันนี้ผ่าน Netflix กับหนังภาพยนตร์ไทยที่ชื่อว่า One for the Road หนังดราม่าสุดซึ้งที่จะชวนคุณเสียน้ำตากันตลอดทั้งเรื่อง
*** คะแนน IMDb = 7.3 ***
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่นี่
อ้างอิง
https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6889804
https://www.the1.co.th/the1today/articles/4176